วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

มาจากบล็อกเพื่อนบ้านครับผม

บุคคลิกภาพและจรรยาบรรณของนักดนตรี


บิคคลิกภาพและจรรยาบรรณของนักดนตรี

ไม่ว่าการศึกษาวิชาการดนตรีนั้น จะเป็นไปเพื่อบระกอบอาชีพ เพื่อประดับความรู้หรือเพี่อการอื่น ๆ ผู้ศึกษา เมื่อสามารถเล่นดนตรีเป็น อ่านโน้ตดนตรีได้ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นนักตนตรีคนหนี่ง ความเก่งกาจสามารถมากหรือน้อย เป็นเรื่องทที่จะต้องฝึกฝนกันเอาเองในภายหลัง การที่นักดนตรีผู้ที่เก่งกว่าจะเหยีดหยามผู้ที่มีฝีมือด้อยกว่า ว่ามิใช่เป็นนักดนตรีที่แท้จริงนั้น ย่อมเป็นโลกทัศน์ที่ผิดเป็นอยางยิ่ง
การดนตรีก็เปรียบได้กับศาสตร์อื่นๆ ทั่วไป คือ มีทั้งงผู้ที่เก่งกว่าและผู้ที่ยัง อยู่ในระหว่างการฝึกฝน คือมีฝีมือที่ด้อยกว่า ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องคำนึงถึงไม่น้อยไปกว่าเนี้อหาทฤษฎีดนตรีก็คือการหมั่นฝึกฝนและสำรวจตนเองในเรื่องของโลกทัศน์ที่มีต่อดนตรี และเรื่องทั่วไป

คุณสมบัติของนักดนตรีที่ดี
๑. การขยันขันแข็งในการฝ้กซ้อม จะช่วยให้มความคล่องตัว ช่วยเพิ่มพูนฝีมือ เพิ่มพูนความเข้าใจ เพิ่มพูนความเร็ว การขยันฝึกซ้อมนั้น จะต้องทำให้เป็นนิสัย แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้เก่งแล้ว ก็ยังต้องหมั่นฝึกซ้อมอยู่เสมอ
๒. หมั่นศึกษาหาความรู้ทางดนตรีเพิ่มเติมอยู่เสมอจากครู อาจารย์ จากเพื่อนร่วมงาน จากตำหรับตำรา จากการฟัง ฯลฯ วิวัฒนาการและเทคโนโลยี ก้าวไปบ้างหน้าตลอดเวลาถ้าหยุดศึกษา จะกลายเป็นคนล้าหลัง และตามเพื่อนพ้องไม่ทัน
๓. มีความละเอียดละออในการฟัง การอ่าน การเขียนและการเล่น อย่าปล่อยให้รายละเอียดที่ไพเราะน่าสนใจ หรือกลเม็ดต่างๆ ผ่านไป โดยมิได้กระทบประสาทสัมผัสของเรา
๔. หมั่นดูแลรักษาเครื่องมือประจำตัวที่ใช้ประกอบอาชีพ หรือเล่นเป็นประจำ ให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ เสียงทุกเสียงต้องไม่เพี้ยนเลย(เป็นอันขาดสภาพของเครื่องตนตรีต้องใช้การได้ดีตลอดเวลา
๕. ลดอัตตาในตนเองให้มากที่สุด จงเป็นคนถอมตัว อย่าถือว่า ความคิดของตนเองเป็นใหญ่ อย่าคิดว่าเราเองต้องเป็นฝ่ายถูกตลอดกาล การคิดเช่นนั้นจะทำให้เราไม่ได้อะไร ที่ใหม่ๆ และกลายเป็นคนโง่ที่คิดว่าตัวเองฉลาด
ตนตรีนั้น เป็นศิลปะอิสระที่ไร้ขอบเขต เช่นเดียวกับภาพเขียน ความไพเราะ ไม่ได้อยู่ที่การเล่นถูกต้องตามต้นกำเนิดเดิม แต่อยู่ที่ผู้เล่นสามารถสื่อถึงผู้ฟังได้ดีเพียงไรในท่วงทำนองเดียวกัน เสียงประสานหรือคอร์ด อาจเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ ซึ่งขึ้นอยู่กับลีลาของเพลง และอารมณ์ที่ผู้เล่นต้องการให้เป็นไป การมีอัตตามาก จะทำให้เราถูกขังอยู่กับความคิดคำนึงของเราคนเดียว และไม่อาจก้าวพ้นไปรับความเป็นอิสระในทางความคิด ทั้งที่เราก็มีความสามารถในการสร้างสรรค์ได้ดีคนหนึ่ง
๖. อย่าตำหนิติเตียนผู้มีฝีมือด้อยกว่า จงแนะนำสิ่งที่น่าสนใจแก่เขา ตามกำลังความสามารถของเขาที่จะรับได้ จงให้กำลังใจแก่เขา และส่งเสริมให้เขามีฝีมือขึ้นมาเสมอเรา หรือก้าวไปกว่าเรา ความเจริญและความดีงามของสังคมอยู่ที่การมีคนที่มีคุณภาพจำนวนมาก
๗. เป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ไม่ว่าในหมู่เพื่อนร่วมงาน หรือผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ในธุรกิจการดนตรี รับฟังและเคารพในความคิดเห็นของคนอื่น อย่าเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับบุคคลอื่นเสมอๆ จะทำาให้เรากลายเป็นบุคคลที่น่าเบื่อหน่าย
๘. เป็นผู้ที่ตรงต่อเวลา ไม่วาเป็นการนัดฝึกซ้อมหรือในการแสดงจริง ต้องตรงต่อเวลาจริงๆ ทั้งต้องเผื่อเวลาไว้สำหรับอุปสรรคในการเดินทางด้วย งานทุกงานควรเริมต้นและจบลงตามกาหนดการ
๙. เมื่อมีโอกาสถ่ายทอดความรู้สู่ผู้อื่น จงกระทำในลักษณะ แนะนำ แจกแจงให้เห็นจงอย่าสอน ถ้าจะสอนต้องคำนึงถึงความยอมรับในตัวเรา จากผู้เรียนให้มาที่สุด
๑๐. จงเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น อย่าถือวิสาสะหยิบหรือเคลื่อนย้ายเครื่องมือของผู้อื่น โดยเจ้าของไม่ได้อนุญาตเสียก่อน
๑๑. จงเป็นผู้มองโลกในแง่ดีเสมอ ให้อภัยคน อย่าเป็นคนโกรธง่าย อย่าใช้ยาเสพติด เมื่อต้องการอารมณ์สุนทรีย์ นักดนตรีควรจะมีอารมณ์สุนทรีย์โดยธรรมชาติ มองโลกให้กว้าง
๑๒. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ทั้งฝีมือและพฤติกรรม คนแต่ละคนมีจริตและสิ่งเอื้ออำนวยที่แตกต่างกัน โดยธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่จะเปรียบเทียบกันได้ ความกระตือรือร้นความทะเยอทะยานที่จะมีฝีมือและความรู้ที่มากขึ้น ควรขึ้นอยู่กับความท้าทายจากสิ่งที่เราเรียนรู้นี้ มิใช่เกิขึ้นเพราะอยากเอาชนะผู้อื่น เราจะไม่วันชนะใครตราบเท่าที่เราอยากเอาชนะ
                 ความเป็นนักดนตรี สิ่งที่จะต้องกระทบเป็นประจำคือเล่นดนตรีเพื่อสื่อถึงผู้ฟัง เท่ากับว่าตลอดเวลาเราทำงานเพื่อผู้อื่นอยู่แล้ว ดังนั้นจิตสำนึกของนักดนตรี จึงควรคิดถึงผู้อื่นก่อนตนเองจงทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผู้อื่นได้รับความสุขเต็มที่ จะต้องนึกเสมอว่า สิ่งที่ออกไปจากเรา ผู้อื่นเขารับแล้วพอใจไหม ยินดีหรือไม่ การคิดคำนึงอย่างนี้จะทำให้เรากระทำแต่สิ่งที่ดีอยู่ตลอดเวลาและรับความรู้สึกเป็นสุข ทึ่ได้ทำให้ผู้อื่นมีความสุข
เครดิต http://hs2kvo.blogspot.com/2014/07/blog-post_14.html

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คุณลุงอุทิศ อิ่มบุปผา คือใคร............??? Who is Uncle Utis Imbubpha

ย้อนกลับไปมื่อสมัยราวปี ๒๕๔๕ การขลุ่ยของผมกับอิ่มบุปผาเริ่มต้นขึ้นนะบัดนั้น
เว็บไซด์ในสมัยนั้นที่เกี่ยวกับการดนตรีไทยต่างๆที่ค่อนข้างจะมีชื่อและเป็นที่นิยมเข้าไปพูดคุย ซักถามและปรึกษา ปัญหาต่างๆ นั้น มีอยู่ไม่กี่เว็บไซด์  ที่โด่งดัง ก็เว็บไทยคิด ดนตรีไทยดอทคอม และมิวสิกก้าเป็นต้น
เด็กคนหนึ่ง มีความสนใจขลุ่ย และอยากจะไปสัมผัสวิถีชีวิต การทำขลุ่ยด้วย จึงเข้าไปค้นหาข้อมูลจากเว็บไซด์กูเกิ้ล ผลปรากฏว่า บุคคลที่มีชื่อเสียงอยู่ในขณะนั้น มีสองท่าน คือ คุณลุงจรินทร์ กลิ่นบุปผา และคุณลงุอทุิศ อิ่มบุปผา  ซึ่่งมีชื่อเสียงมากในด้านการทำขลุ่ย แต่ความนิยมเปรียบเทียบกันแล้ว คุณลุงอุทิศ จะค่อนข้างมีคนชื่นชมมากกว่าเพื่อนอาจจะเป็นในขณะนั้นด้วยวัยชราการทำขลุ่ยของลุงจรินทร์จึงได้รับความนิยมน้อยลง  กระผมเลยตั้งใจเข้าไปบ้านคุรลุงอุทิศ อิ่มบุปผาในทันที ณ เช้าวันหนึ่ง ซึ่งวิชาการเป่าขลุ่ยในขณะนั้นยังไม่เป็นเพลงด้วยซ้ำไป แต่ในใจของกระผมคิดว่า........เสียงที่ผมเป่าช่างไพเราะมากมายนัก   ได้พบคุณลุงอุทิศครั้งแรก ผมนี่ตัวเกร็งเลย เนื่องจากสมัยนั้นกระผมไม่ค่อยได้ไปพบป่ะเจอะเจอผู้คน หรือไปสถานที่ใหม่ๆ เท่าไหร่นัก จึงทำให้รู้สึกว่า ตื่นเต้นมาก ผมนี่ตัวเกร็งเชียว ดูภายนอกท่านนั้นเป็นคนดุ มีความเป็นศิลปินสูง มีความมั่นใจเด็ดเดี่ยว และมีความศรัทธาแรงกล้าในการทำขลุ่ยมากๆอย่างที่ใครก็ไม่สามารถจะบอกได้ ต้องสัมผัสด้วยตัวเองครับผม.....คุณลุงอุทิศ อิ่มบุปผา นั้นก็ได้เมตตาเข้าไปเลือกขลุ่ย ให้หนึ่งเลา.......... ราคา ๕๐ บาท เป็นขลุ่ยพลาสติกลายไม้ นับว่าเป็นจุดกำเนิดแห่งการสร้างนักเป่า นักสะสมและนักศรัทธาแห่งเสียงดนตรีประเภทขลุ่ย ขึ้นอีกหนึ่งนั่นคือตัวผมเอง........(จากข้อมูลในไทยคิดส์ น้องผู้หญิงคนหนึ่ง ได้เข้ามาเยี่ยมที่บ้านคุณลุงอุทิศ และได้ขลุ่ยพลาสติกลายไม้ ไปเป่าฟรี หนึ่งเลา กระผมก็แอบมีลุ้นอยู่นิดๆ ) ฮาาาา

จากนั้นเป็นต้นมา ก็ได้ไปเยี่ยมเยียนท่านอยู่เสมอๆ ครั้งแรกที่ผ่าตัดลำใส้ เนื่องจากเป็นโรคกระเพาะในขั้นร้ายแรง เนื่องจากการใช้ชีวิตที่บุกผ่าฝ่าดงในถิ่นแดนต่างๆ และการมีชีวิตที่มั่นใจ การดื่มแอลกอฮอล์ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ก็เลยทำให้เป็นแผลที่กระเพาะ  จากนั้นเป็นต้นมา การแอลกอฮอล์ต่างๆ ท่านก็เลิก ละ ได้จนถึงปัจจุบัน

อัธยาศรัยการพูดคุยของคุณลุงอุทิศนั้น จะเป็นกันเอง มีความภูมิใจมาก สายตาเปล่งประกายด้วยพลังแห่งการต่อสู้หยัดยืนด้วยสองเท้า ถึงแม้ว่าผู้เป็นบิดา จะได้จากไปก่อนวัยอันควร เนื่องจากพิษสงครามโลกครั้งที่สอง จากการเป็นลูกสถาปนิก ที่มีชื่อ ผู้คนในละแวกบ้าน ย่านใกล้เคียงต่างเรียกคุณลุงว่า "คุณ" ซึ่งชื่อเล่นท่านนั้น มีชื่อเล่นว่า "อึ่ง"  ผู้คนก็ต่างเรียกว่า "คุณอึ่งบ้าง" คุณหนูอึ่งบ้าง  การเป็นลูกผู้มีอันจะกิน หรือร่ำรวยมีฐานะนั้น จากที่เคยเรียกอย่างเพราะๆ ก็เรียก อึ่งบ้าง ไอ้อึ่งบ้าง ตามฐานะเท่าเทียมกันไปโดยปริยายของลักษณะสังคมชาวบ้านเฉกเช่นเดียวกัน เท่าๆกัน

จากพิษสงครามโลกครั้งที่สองผ่านไป ก็ได้ทำให้สูญเสียบิดา ผู้เป็นเสาหลักของบ้านไป  เหลือเพียงมารดา และคุณลุงสองคน ที่ต้องต่อสู้ ฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการ  ด้วยความรู้ที่ติดตัวมาของคุณย่าถาน หรือมารดาของคุณลุงอทุิศนั้น มีวิชาการช่างทำขลุ่ยติดตัวมา จึงทำให้พอมีรายได้มาจุนเจือครอบครัวได้บ้าง จากการหาบขลุ่ยไปจำหน่าย ตามงานวัด งานภูเขาทอง และงานประจำปีแต่ละแห่ง ซึ่งขลุ่ยคุณย่าถานทำนั้น จะเป็นขลุ่ยที่เป่าเอาสนุก เป็นขลุ่ยที่ระลึกเป็นส่วนใหญ่

ด้วยความที่คุณลุงอุทิศ อิ่มบุปผานั้น มีวิชาที่ได้รับการสืบทอดจากผู้เป็นพ่อและแม่มาติดตัว อย่างไม่ต้องสงสัย นั้นคือ วิชาแห่งเชิงช่างต่างๆ..... วิชาต่างๆที่ท่านทำได้ดี และเป็นที่ชื่นชอบ ที่ท่านเล่าให้ฟังแล้ว น้ำเสียงจะคมชัด สดใส ด้วยสายตาที่เปล่งประกาย ผสมกับเสียงหัวเราะ เป็นระยะๆ นั่นคือ

ก่อนอาชีพทำทองก็ทำงานบริษัทขนส่งสินค้า???จำบริษัทไม่ได้(ติดไว้ก่อน)
อาชีพช่างทอง  อาชีพช่างซ่อมวิทยุโทรทัศน์     และสุดท้ายอาชีพการช่างทำขลุ่ย

การเดินทางแห่งอาชีพ การเดินทางแห่งความรัก และการสิ้นสุดจบลงที่อาชีพทำขลุ่ยนั้น ...สิ่งต่างๆที่ท่านสั่งสมด้วยประสบการณ์ สั่งสมด้วยการรู้จริงเห็นจริง และสัมผัสมาจริงๆนั้น ทำให้คุณลุงอุทิศนั้น เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง มีลักษณะความเป็นผู้นำ และสิ่งหนึ่งที่ท่านเก่งมากไม่แพ้อาชีพต่างๆเลย นั่นก็คือการเป็นพิธีกรในงานต่างๆ พิธีกรการประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง ซึ่งสมัยคุณชาย เมืองสิงห์ คุณเศรษฐา ศิระฉายา เป็นต้น แต่ละท่านนั้นยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่เลย ยามใดที่ท่านได้ยินท่านเหล่านี้กล่าวถึงว่า เคยมาประกวดดนตรีที่วัดบางใส้ไก่และมีพิธีกรที่ชื่อคุณลุงอุทิศ อิ่มบุปผา นั้น ท่านจะภาคภูมิใจและยิ้มกว้างแทบจะไม่หุบเลยทีเดียว

การเดินทางแห่งเส้นทางขลุ่ยนั้น....การเดินทางบางครั้งคนเราก็ไม่ทราบจุดหมายของตนว่า พอถึงจุดหมายแล้วจะได้พบอะไร อาชีพต่างๆที่คุณลุงทำก็เช่นกัน ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามวิถีแห่งสังคม วิถีแห่งเศรษฐกิจด้วยเป็นต้น ก็นับว่าท่านก็เป็นนักวิเคราะห์เศรษฐกิจด้วยเช่นกัน.....

ซึ่งอาชีพทำทองที่ท่านทำนั้น     ราคาทองคำซึ่งเป็นวัตถุดิบนั้นราคาสูงขึ้นแทบจะทำเป็นรูปพรรณแล้วแทบจะไม่เหลือกำไรเลย ท่านก็เลยหยุดทำและยุคสมัยนั้นทีวี วิทยุ ซึ่งเป็นจอขาวดำ กำลังบูมและเป็นที่นิยมมาก ส่วนใหญ่กำลังการซื้อจะไม่ค่อยมี ท่านเลยศึกษาวิชาการซ่อมวิทยุโทรทัศน์ด้วยตัวเอง ไปรับวิทยุโทรทัศน์มือสองที่ชำรุดและขายต่อ นับว่าเป็นอาชีพที่สามารถสร้างกำไรได้งดงามเลยทีเดียวจนทำให้ท่านภูมิใจมากที่สุด ว่า...สามารถสร้างบ้าน อิ่มบุปผาได้เพราะการเป็นช่างซ่อมวิทยุโทรทัศน์นั่นเอง


เมื่อย่างเข้าสู่วัยกลางคนต่างๆ นั้น พอได้บ้านอิ่มบุปผาอยู่อาศัยให้ร่มเงา พักพิงเป็นหลักแล้ว ท่านก็เริ่มสืบทอดการช่างด้านขลุ่ยจากมารดา หรือย่าถาน   คุณลุงอุทิศเล่าว่า สมัยก่อนนั้น การทำขลุ่ยจะเสียงไม่ชัด และเสียงแหบปนเยอะ  เสียงแบบนี้คุณลุงคิดว่ายังไม่ถูกใจนักด้วยความที่ท่านก็เล่นสากลเป็นอยู่แล้ว นั่นคือการ เป่าหีบเพลงปาก หรือ ..(เรียกว่าอะไร)   ....ทำให้ท่านเข้าใจโน้ตเข้าใจหลักการแห่งดนตรี ว่าแต่ละคีย์ แต่ละชนิดของหีบเพลงปากเป็นเช่นไร จนทำให้มีความสามารถจนเข้าถึงการประกวดประชันและคว้ารางวัลได้ในหลายเวที  ยามใดที่ท่านว่างๆ ท่านก็เป่าให้ฟัง และน้ำเสียงก็เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะคนทั่วไปจะเป่าแบบตรงๆโน้ตตรงๆ แต่ท่านจะเป่าในจังหวะบลู หรือคันทรี่ มี่เป่าเป็นกลุ่มคอร์ดได้ มีจังหวะกำกับ และมีทำนองผสมกัน ทำให้ฟังแล้วเป็นเอกลักษณ์ที่น้อยคนนักในประเทศไทยจะทำได้เช่นนี้.....เสียงเจิดจ้า ทุกครั้งว่า ความสามารถในด้านดนตรีหีบเพลงปากโดดเด่น ยิ่งกว่าขลุ่ย เพราะท่านชอบในเสียงที่ชัดเจน แจ่มใส ใส่ลูกเล่นได้มากมาย

พอมาถึงการจับหรือลงมือทำขลุ่ยนั้น เสียงที่เคยแหบพร่าของขลุ่ยไผ่ ท่านก็ทำให้มีน้ำใสแจ่มชัดน่าฟัง ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของท่านเอง หรือท่านใดอยากได้แบบดั้งเดิม ท่านก็ทำกลับให้ได้เช่นกัน

ขลุ่ยไม้ไผ่...........นั่นคือเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของคุณลุงอุทิศ อิ่มบุปผา เลยก็ว่าได้ เนื่องจากการทำขลุ่ยไม้ไผ่ แต่ละเลาได้นั้น บางครั้งต้องอาศัยเวลา ความปราณีต และความอดทนเป็นอย่างสูง  ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกไผ่มาทำขลุ่ย การบ่มไผ่ไว้ให้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้เสียงเพี้ยน การเก็บโดยไม่มีสารฆ่าแมลงใดๆทั้งสิ้น ฉะนั้นต้องต่อสู้ระหว่างปลวกและมอด  การทำเสียงจะต้อง มาขัดด้วยอิฐมอญผสมน้ำ ใส่กาบมะพร้าว ชัดให้มันวาว ด้วยวิธีแห่งภูมิปัญญาดั้งเดิม และการเหลาดากขลุ่ยนั้นจะต้องเหล่ามือ เพราะท่านไม่มีเครื่องกลึง การเหล่ามือนั้นทำให้ได้เสียงที่ดีดั่งใจนึกเพราะว่า ดากขลุ่ยไม้ไผ่ แต่ละเลานั้นจะกลม หรือ แบน หรือ ใหญ่เล็กไม่เท่ากันสักเลา จำเป็นต้อง เหลาด้วยมือ ขัดกระดาษทราย ตะไบเหลา จนขนาดพอดี ไม่แน่นจนเกินไป ถ้าแน่นเกินไป อากาศเปลี่ยนแปลงดากขลุ่ยมีการยืดขยาย และหด จะทำให้ไม้ไผ่แตกรานได้     การแต่งเสียง การคว้านรู การตอกลิ่มหยอดเทียนในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ การที่จะสร้างขลุ่ยไผ่แต่ละเลาได้นั้นจำเป็นต้องมีความวิริยะอุตสาหะและความอดทนเป็นอย่างสูง  จึงจะทำให้ได้ขลุ่ยไผ่ที่เสียงดีสักเลา   แต่ ราคาในสมัยนั้นขลุ่ยไผ่ ราคาไม่สูงมากนัก ความนิยมแห่งขลุ่ยกลึงจากไม้ ก็เข้ามาแทนที่ และมีความนิยมมากกว่าขลุ่ยไผ่  ขลุ่ยไผ่ นึงลดบทบาทลงแต่ไม่หายไป แต่นานๆจะทำไว้เพื่อเป็นที่่ระลึก เป็นของขวัญสำหรับคนที่คุณลุงรักและคิดถึงอยู่เสมอ แต่จะทำเพื่อผลิตเป็นธุรกิจจะน้อยลง    

 ขลุ่ยกลึงจากไม้ต่างๆ ..................
งาช้าง
งาช้างเลี่ยมทองหัวท้าย
ไม้งิ้วดำ
ไม้ชิงชัน
ไม้มะริด
ไม้พยุง
ไม้รัก
ไม้ประดู่(ลายเสือ)
ไม้แอฟริกันแบล็กวูด
ไม้เขียว
ไม้ม่วง
ไม้มะขามโปร่งฟ้า
เป็นต้น
.....................................เดี่ยวมาเพิ่มครับ.....ความคิดยังไม่ตกตะกอนครับ ฮาาา..........




วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การกระทำ ทำเล่น ทำจริง


การเติบโต

ต้นไม้มีการเจริญเติบโตฉันใด มุนษย์เราก็ย่อมมีการเติบโตและก้าวไปฉันนั้น

ความขยันเท่านั้นที่ทำให้เราเป็นอัจฉริยะ


พรสวรรค์เป็นดั่งคำสาป ให้ผุ้หลงตกอยู่ในความประมาท

พรสวรรค์เป็นดั่งคำสาป ให้ผู้หลงตกอยู่ในความมาท
พระแสวงเป็นดั่งพระสวรรค์ ที่ผู้ตื่่นอยู่เสมอพบหนทางสว่าง

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

การเรียน การรัก และการดนตรี

เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม           ดนตรี
อักขระห้าวันหนี               เนิ่นช้า
สามวันจากนารี                เป็นอื่น
วันหนึ่งเว้นล้างหน้า         อับเศร้าศรีหมอง ฯ

คำแปลศัพท์
ดีดซ้อม ฝึกซ้อม
อักขระ หนังสือ
เป็นอื่น เป็นคนอื่นไป
ศรีหมอง หม่นหมอง
คำถอดความ
เจ็ดวันเว้นจากการฝึกซ้อมดนตรีอาจทำให้ไม่ชำนาญ
ห้าวันไม่อ่านหนังสือก็ทำให้ไม่แคล่วคล่อง
สามวันจากนารีก็อาจจะทำให้เป็นคนอื่นไปได้
เว้นล้างหน้าหนึ่งวันก็อาจจะทำให้หน้าตามัวหมองได้ 
เครดิต เว็บครูภักดีครับผม

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความรัก เหนือ วัตถุ สิ่งของ

วันหนึ่งเมื่อยังเด็ก
แอนดี้น้องชายของฉัน
นั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น
ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม
ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็
ถือหนังสือสะสมราคาแพงของพ่อ
แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ
เมื่อพ่อเดินเข้ามาในห้อง
แอนดี้ก็ก้มหน้างุดและทำท่ากระสับกระส่าย
เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิด
แม้จากระยะไกล
ฉันก็เห็นรอยขีดเขียน
เปรอะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ
และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองพ่อ
ตาโตด้วยความหวาดหวั่น
รอคอยที่จะถูกทำโทษ
พ่อหยิบหนังสือขึ้นมามอง
แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้
โดยไม่พูดอะไรสักคำ
หนังสือทุกเล่มมีความหมายกับพ่อมาก
หนังสือคือความรู้ และหนังสือเล่มนี้
ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง
แต่ในขณะเดียวกัน
ท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก
สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีนั้นยอดเยี่ยมมาก
แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้
หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน
พ่อนั่งลงหยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้
แล้วก็เขียนอะไรบางอย่าง
ลงในหน้าหนังสือสะสมราคาแพงนั่นเสียเอง
พ่อเขียนที่ข้างๆลายเส้นที่แอนดี้ขีดว่า
"ภาษาของแอนดี้ เมื่ออายุสองขวบ"
"ต่อไปนี้ไม่ว่าครั้งไหน
ที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด
พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆ
ที่น่ารักและดวงตาที่สดใสของลูก
และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้
มาให้ขีดเขียนบนหนังสือแสนหวงของพ่อ
ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย
เหมือนกับที่พี่ๆของลูกนำความหมาย
มาสู่ชีวิตของพ่อเหมือนกัน"
"ว้าว..." ฉันคิด
นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ
นานๆครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้
มาให้ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น
ทุกครั้งที่มองดูลายมือหยุกหยิกเหล่านั้น
ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น
พ่อได้สอนให้ฉันรู้ว่า
อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง
ซึ่งนั่นก็คือ
''คนที่เรารัก ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ''
ลองมองย้อนดูตัวเองนะคะ
ในแต่ละวันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อยู่เสมอ
เช่น คุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร
เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ
แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อตัวเก่งของคุณ
และคุณก็ทำสีหน้าที่ตำหนิเธอ
และคำพูดที่บอกว่า
"เดี๋ยวผมเทเองก็ได้"
นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก
น้ำตาใสๆก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน
เพราะอาหารมื้อนั้น
ไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้ว
แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า
ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก
เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด
ผมจะหวนนึกถึงร้านอาหารนี้ทุกครั้ง
ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ
และได้คิดถึงทุกครั้งว่า
ภรรยารักและเอาใจใส่ผมมากเท่าใด
อยากปรนนิบัติเอาใจ (จนเทซอสหกใส่ผม)
แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว
ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณมั้งล่ะ (ทีนี้ตาผมมั่ง)
รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบินแล้ว
แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้วล่ะ
สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้น
ไม่ใช่นาฬิกาเรือนละแสน
หรือเนคไทเส้นละหลายๆพัน
แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจ
ที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่ง
เฝ้ารักเฝ้าถนอมความรู้สึกคุณ
อยู่ตลอดเวลาต่างหาก
แล้วคุณละคะ เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือเปล่า .. อีโมติคอน kiki
--------
ที่มา Pink Planet. TH

นำมาจากเฟสบุค พี่สายฝน โอสถ ครับผม

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ข้อคิดดี๊ดี นำมาจากเฟสเพื่อนบ้านครับผม

กุญแจแห่งความสำเร็จ (ถนนและเส้นทาง ล้วนแล้วแต่สร้างมาจากน้ำมือและสมองของมนุษย์ทั้งสิ้น (หากวันนี้ชีวิตเราต้องเจอกับทางตัน) จงอย่ากลัว หย่าหวั่น อย่าดับฝัน เพราะมันสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยมือของคุณเอง*20 ข้อคิด..สู่ความสำเร็จ*
1. ทบทวนสิ่งที่ได้ทำมา
….’ข้าพเจ้าได้เรียนรู้มากมายจากความผิดพลาดมากกว่าความสำเร็จ’…. …
ก่อนอื่น ขอให้ทบทวนตนเองโดยเขียนเรื่องราว ที่เป็นประสบการณ์ในการได้เรียนรู้สิ่งที่ดี และสิ่งที่เลวร้ายในอดีตที่ผ่านมา แยกแยะจุดเด่น จุดด้อย
สิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขเป็นประเด็นอย่างชัดเจน สิ่งใดทำแล้วสนุกสนาน สิ่งใดที่ช่วยกระตุ้นสร้างกำลังใจบ้าง เขียนในสมุดบันทึกไว้เสมอ
จะช่วยให้สามารถทบทวนและวิเคราะห์ตนเอง เพื่อใช้เป็นแนวทางการพัฒนาให้พร้อมก้าวสู่ความสำเร็จในอนาคตต่อไปได้
2. ฝันให้ใหญ่ ก้าวไปให้ถึง
‘ อนาคต เป็นของผู้ที่เชื่อมั่นในฝันอันสวยงาม’
เมื่อคิดถึงความสำเร็จในอนาคตที่ฝันใฝ่ จงอย่ากลัวที่จะใฝ่ฝัน
เมื่อกล้าที่จะฝันก็สามารถฟันฝ่าได้ หากพบอุปสรรคระหว่างทาง จะทำให้ไม่กังวล ท้อแท้หรือท้อถอย เพราะสิ่งที่ฝันคือสิ่งที่ต้องการ
และสิ่งที่ต้องการคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าอุปสรรคเล็กๆน้อยๆ ที่ผ่านเข้ามาทดสอบเรามากมายหลายเท่า ดังนั้นอย่าหวั่นกลัวที่จะฝัน จงฝันให้ใหญ่ (กว่าอุปสรรค) แล้วก้าวต่อไปให้ถึง
3. กำหนดเป้าหมายของชีวิต
‘มุ่งมั่นกับเป้าหมายอย่างต่อเนื่องและจริงจัง แล้วท่านจะพบหนทางสู่ความสำเร็จอย่างแน่นอน’
ความสำเร็จในอนาคตกำหนดได้เสมอ กำหนดทิศทางที่จะมุ่งไป และสิ่งที่จะต้องทำ เมื่อมุ่งมั่น จริงจังต่อเป้าหมายที่วางไว้ มีทิศทางที่แจ่มชัด จะช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้ชีวิต พร้อมที่จะมุ่งสู่ความสำเร็จที่ต้องการ
4. สร้างความสำเร็จให้เห็นเป็นภาพ
‘จินตนาการสำคัญกว่าความรู้
แต่ทั้งนี้เราต้องมีความรู้เป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว และนอกจากทบทวนอดีต มีความฝันและตั้งเป้าหมายแล้ว ควรสร้างจินตนาการบันทึกลงในจิตสำนึกด้วย จงหลับตาจินตนาการให้เห็นความสำเร็จที่วาดหวังไว้ เพราะพลังจากจิตใต้สำนึกจะช่วยกระตุ้นการทำงานให้มีพลังเพิ่มมากขึ้น และใช้จินตนาการเพื่อผลักดันชีวิตไปสู่ความสำเร็จ
5. เรียนรู้และฝึกฝน
“ไม่มีสิ่งใดที่เราได้เรียนรู้จากในโลกนี้..แล้วเปล่าประโยชน์”
ทั้งเรียน ทั้งอ่าน ทั้งพบปะพูดคุยกับผู้รู้ ประสบการณ์จากเขาเหล่านั้น จะช่วยให้มีหนทางบรรลุถึงความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น
เปรียบเป็นการได้ใช้ทางลัด(ด้วยตัวของเราเองนะ) เพื่อเดินสู่เป้าหมาย ดังนั้น จงเรียนรู้ ๆๆพร้อมกับฝึกฝนในสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้พบวิธีที่สะดวกรวดเร็ว และผิดพลาดน้อยลง
6. สร้างกำลังใจให้ผู้อื่น
หนทางที่ดีที่สุดในการสร้างกำลังใจให้ตนเอง คือการสร้างกำลังใจให้ผู้อื่น
ปัจจัยสำคัญที่เกื้อหนุนให้ประสบความสำเร็จอย่างหนึ่ง คือ การมีกำลังใจที่จะไขว่คว้าให้ได้มา การสร้างกำลังให้ตนเองที่ดีวิธีหนึ่ง คือการสร้างกำลังใจให้กับเพื่อนหรือคนที่รักและห่วงใย เมื่อใดที่กระตุ้นให้ผู้อื่นเกิดกำลังใจ เมื่อนั้นจะส่งผลสะท้อนกลับมาเป็นกำลังใจแก่ตนเองด้วย …จงให้กำลังใจแก่ผู้อื่นเสมอๆ เพื่อเป็นกำลังใจผลักดันตนเองไปสู่ความสำเร็จที่มุ่งหวัง
7. เรียนรู้ความสำเร็จของผู้อื่น
“จงเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของผู้อื่น เพราะท่านไม่สามารถมีชีวิตยืนยาว พอที่จะเรียนรู้ความผิดพลาดทั้งหมดด้วยตนเอง” การอ่านชีวประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ จะช่วยเสริมพลังใจให้ฮึกเหิมที่จะมุ่งมั่นฟันฝ่าสู่เป้าหมายที่ต้องการ นอกจากเกิดกำลังใจ ยังได้เรียนรู้ประสบการณ์ ทำให้ได้แง่คิดและได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดซึ่งเป็นบทเรียนที่มีคุณค่ามหาศาล คงไม่คุ้มค่าที่เราจะลองผิดลองถูกหลายๆครั้ง
จงเรียนรู้ความสำเร็จของผู้อื่น เพื่อเป็นแนวทางในการก้าวสู่ความสำเร็จต่อไป
8. คิดรอบคอบก่อนลงมือทำ
“คิดให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือทำสิ่งใด”
ความไม่รอบคอบในการกระทำ มีผลกระทบต่อความสำเร็จ ก่อนที่จะทำสิ่งใดลงไป จงคิดให้รอบคอบเสียก่อน
เพราะเมื่อมีความรอบคอบจะช่วยให้รู้เท่าทันปัญหาที่จะเกิดขึ้น
ทำให้สามารถควบคุมตนเองได้และผิดพลาดน้อยลง
9. นอนให้เป็นเวลา ตื่นเช้าให้สดชื่น
ปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ คือการมีสุขภาพที่ดี
เกิดจากการพักผ่อนอย่างเพียงพอ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้พักผ่อนอย่างเพียงพอและตื่นแต่เช้า จะช่วยทำให้ชีวิตสดชื่น กระตือรือร้นในการกระทำสิ่งต่างๆ
10. มีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต
“ความคิดเล็กๆ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ”
ความสำเร็จจะไม่เกิดขึ้นได้ หากชีวิตยังวนเวียนในทัศนคติแง่ร้าย การปรับเปลี่ยนทัศนคติ มองโลกในแง่ดี คิดเสมอว่า แม้วันนี้ยังคงทุกข์ระทม แต่พรุ่งนี้ต้องดีกว่า
แง่คิดเล็กๆที่ดี อาจทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ จงปรับเปลี่ยนทัศนคติไปในทางที่ดี เพื่อชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม
11. คำพูดดีๆ สร้างพลังให้ชีวิต
“ถ้อยคำดีๆเพียงคำเดียว ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตได้”
หมั่นใช้ถ้อยคำที่สร้างพลังในเชิงบวก เช่น “ฉันทำได้” “ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่” “ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้” พูดทุกครั้งที่ต้องการกำลังใจ และต้องการประสบความสำเร็จ เมื่อใช้คำพูดที่ถูกต้องและไม่เป็นเชิงลบ จะช่วยกระตุ้น ทัศนคติ และอารมณ์ไปในทางที่ถูกต้อง และช่วยเป็นแรงผลักดันชีวิตให้มุ่งสู่เป้าหมายได้เป็นอย่างดี
12. อ่านคำคม สะสมกำลังใจ
“Words and Ideas can change the world”
“คำพูดและความคิด เปลี่ยนโลกชีวิตได้”
ข้อคิดคำคมที่สร้างกำลังใจ จะมีผลโดยตรงต่อความสำเร็จของชีวิต ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ ช่วยเป็นกำลังใจในยามท้อแท้ สิ้นหวัง เสริมชีวิตให้มีพลังใจพลังความคิด อย่าลืมว่า ข้อคิดกำลังใจเล็กๆน้อยๆ อาจเปลี่ยนความคิดช่วยประคับประคองชีวิตมุ่งสู่ความสำเร็จได้ตลอดรอดฝั่ง
13. อย่าหยุดยั้งการเรียนรู้
“เมื่อใดที่หยุดเรียนรู้ หยุดฟังหยุดค้นหาหรือตั้งคำถามใหม่ๆ เมื่อนั้นเป็นเวลาที่ชีวิตใกล้จบสิ้น”ต้องไม่หยุดที่จุดเดิม ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอดเวลา ก้าวให้ทันโลก เรียนรู้ไม่สิ้นสุดเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางความคิด ในการพัฒนาสู่ความสำเร็จที่มุ่งหวังไว้
14. ยิ้มได้เมื่อภัยมา
“เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์ แต่คนที่ควรชมนิยมกัน ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา”
แม้ยังไม่ประสบความสำเร็จ และเกิดท้อแท้หมดกำลังใจ จงยิ้มสู้ชีวิต เตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นเสมอๆ การยิ้มสู้ จะทำให้มีกำลังใจ เมื่อมีกำลังใจก็ไม่มีคำว่าพ่ายแพ้ เมื่อไม่ยอมพ่ายแพ้ แน่นอนย่อมนำไปสู่ความสำเร็จได้
15. หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส
“หัวเราะวันละนิด ชีวิตไร้โรคภัย”
การหัวเราะ ทำให้สุขภาพกายและใจดี ช่วยให้สดชื่น มีชีวิตชีวา ไม่เครียด มีพลังในการทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างมั่นคงและแน่นอน
16. ไม่เพียงแต่ฝัน ลงมือทำทันที
“บางคนฝันถึงความสำเร็จ ขณะที่บางคนตื่นแต่เช้าและทำงานหนัก เพื่อให้ได้มันมา”อย่าเพียงแต่ฝัน จงวางแผนและลงมือทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ทันที หากไม่ลงมือทำ เป้าหมายนั้นจะเป็นเพียงความเพ้อฝัน เมื่อฝันได้ก็ต้องทำได้
17. ต้องเชื่อว่าเราสามารถทำได้
“เพื่อประสบความสำเร็จ ไม่เพียงลงมือทำต้องมีความฝันด้วย และไม่เพียงแค่วางแผน แต่ต้องเชื่อว่าทำได้ด้วย”
เมื่อใดที่เชื่อมั่นว่าเราทำได้ก็ย่อมจะทำได้ มีความฝัน และศรัทธา เชื่อมั่นว่าเรามีความสามารถเพียงพอ เพื่อเป็นแรงผลักดันสู่ฝันที่มุ่งหวังไว้
18. ไขว่คว้ามาให้ได้
“อย่ารอคอยที่จะได้เรือมา..แต่ต้องไปนำมันมา”
และอย่ารอคอยโอกาสเพียงอย่างเดียว เพราะไม่รู้หลอกว่ามันจะมาหาคุณเมื่อใหร่ แต่จงสร้างโอกาสให้ตัวเอง มันจะเร็วกว่า
หากมุ่งหวังความสำเร็จ ต้องมีความมุ่งมั่น พยายามไขว่คว้ามาให้จงได้
19. ลงมือทำทันที
“What you are planning to do tomorrow, do today ; what you are going to do today, do right now.” ….ภาษิตอินเดีย……
“สิ่งใดที่วางแผนไว้ว่าจะทำพรุ่งนี้ ลงมือทำวันนี้ สิ่งใดที่คิดจะทำวันนี้ จงลงมือทำเดี๋ยวนี้”
โอกาสที่ดีที่สุดในการสร้างความสำเร็จ คือการลงมือทันทีและทำเดี๋ยวนี้ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง
20. มีความสุขกับความสำเร็จ แม้จะเพียงเล็กน้อย
“จงมีความสุขที่นี่และเดี๋ยวนี้”
แม้ความสำเร็จที่ได้กระทำมาจะเพียงเล็กน้อย ก็ขอให้ภูมิใจ และมีความสุข การมีความสุขกับผลงานที่เกิดขึ้นถือเป็นความสำเร็จสุดยอดของชีวิต จะช่วยผลักดันให้มีความหวัง มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
และจะนำมาซึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า......
ความสำเร็จมิได้ตกมาจากฟ้า มันอยู่ที่ว่า วันนี้ คุณจะเผชิญหน้าหรือหันหลังให้มันต่างหาก